ขั้นตอนสู่ความมั่นคงทางการเงิน และแพลน แบบประกันสะสมทรัพย์
ความมั่นคงทางการเงินไม่ได้หมายถึงแต่ความร่ำรวยเพียงอย่างเดียว
แต่ความหมายจริงๆ นั่นคือ ความพอเพียงทางการเงิน หรือมีประกันสะสมทรัพย์
ซึ่งในแต่ละคนก็มีความต้องการหรือความพอเพียงทางการเงินที่ไม่เท่ากัน แต่ที่แน่ๆ
การมีความมั่นคงทางการเงินหรือการวางแผนทางการเงินจะทำให้เราหมดห่วงเรื่องภาระค่าใช้จ่าย
อุ่นใจได้ว่าจะมีเงินเหลือพอสำหรับใช้จ่ายในอนาคตและในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ซึ่งการมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงนั้นเป็นกระบวนการที่ต้องใช้เวลา มาดูกันว่า 7 ขั้นตอนสู่ความมั่นคงทางการเงินนั้น มีอะไรบ้าง
    เริ่มจากการลงทุนในตัวเอง
   
ไม่ว่าจะเป็นกรศึกษาหาความรู้ ทักษะต่างๆ ที่จำเป็นในการทำงานและใช้ชีวิต
ส่งเสริมให้เกิดความก้าวหน้าในอาชีพ รวมถึงความรู้ทางด้านการวางแผนการเงิน
ไปจนถึงเรื่องสุขภาพร่างกายที่ต้องรักษาให้สมบูรณ์แข็งแรงอยู่เสมอ 
เพราะสิ่งเหล่านี้หมายถึงโอกาสในการหารายได้ต่อไป
    กำหนดงบค่าใช้จ่ายและเงินออม
   
ในแต่ละเดือนควรบันทึกว่าเราใช้จ่ายไปมากน้อยเท่าไรกับเรื่องอะไรบ้าง
อาจจะเป็นการใช้จ่ายเพื่อตัวเอง หรือเพื่อครอบครัว
ซึ่งการบันทึกรายจ่ายนั้นเพื่อให้เห็นชัดเจนว่าเราใช้จ่ายอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่
และสามารถวางแผนการเงินต่อไปได้ไม่ยาก โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายที่จำเป็น เช่น
ค่าเช่าบ้านหรือค่าผ่อนบ้าน ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภค ค่าอาหาร
และค่าผ่อนรถหรือค่าเดินทาง ควรควบคุมให้ไม่เกิน 50%
ของรายได้ต่อเดือน ที่สำคัญคือส่วนเงินออมเพื่ออนาคตและงบฉุกเฉิน ควรตั้งไว้ที่ 10-20% ต่อเดือน และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ไม่เกิน 30% ต่อเดือน
เป็นต้น ทั้งนี้จำนวนสัดส่วนของค่าใช้จ่ายต่างๆ นี้
สามารถยืดหยุ่นไปตามแผนการใช้ชีวิตในแต่ละคนได้
    วางแผนเกษียณ
   
หลายคนคิดว่าทำไมต้องรีบเตรียมเงินสำหรับไว้ใช้ในวัยเกษียณ
เพราะมันอีกตั้งยาวไกล จริงๆ แล้วการเริ่มต้นแต่เนิ่นๆ
จะทำให้เราเป็นอิสระทางการเงินได้เร็วกว่าคนอื่น
เพราะเงินที่สะสมได้จากการออมและลงทุน ได้ดอกผลมาก็นำลงทุนเพิ่ม
เงินก้อนเล็กก็จะค่อยๆ กลายเป็นเงินก้อนโตขึ้นเรื่อยๆ สำหรับคนที่ทำงานประจำ
หลายบริษัทจะให้สิทธิพนักงานเข้าร่วมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเพื่อเอาไปใช้ในยามเกษียณ
ขอให้เราออมในสัดส่วนที่สูงสุดเท่ากับสัดส่วนที่บริษัทจะสมทบให้
หรือหากไม่ไหวที่สูงสุด แต่อย่างน้อยก็ควรต้องเข้าร่วมกองทุนเพื่อเก็บออมไว้
และหากย้ายบริษัท ก็ให้โอนไปบริษัทใหม่และสะสมต่อไป ไม่ควรนำออกมาใช้ก่อนกำหนด
นอกจากนี้ ยังมีประกันชีวิตแบบบำนาญที่เป็นเครื่องมือช่วยออม
และวางแผนสำหรับการเกษียณที่ให้ผลประโยชน์แน่นอนเมื่อเกษีย ทั้งนี้
ประกันชีวิตประเภทนี้ยังให้สิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษีรายได้ส่วนบุคคลตามเงื่อนไขของกรมสรรพากรอีกด้วย
ลักษณะเด่นของแบบประกันสะสมทรัพย์
   
คุ้มครองชีวิตนาน 21 ปี 
   
ชำระเบี้ยประกันภัย 7 ปี 
   
รับเงินคืนปีละ 2% ของจำนวนเงินเอาประกัน
ตั้งแต่สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 2 จนถึงสิ้นปีกรมธรรม์ที่ 20
   
รับเงินครบกำหนดสัญญา 212%
ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ สิ้นปีกรมธรรม์ที่ 21 
   
รวมถึงเลือกรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้น 2% ต่อปี
จากเงินคืนที่สะสมไว้กับบริษัทฯ ตลอดสัญญา
   
สามารถซื้อความคุ้มครองอื่นๆ เพิ่มเติมได้ตามความต้องการ เช่น ประกันสุขภาพ
ประกันอุบัติเหตุ และประกันโรคร้ายแรง เป็นต้น 
   
ใช้ลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 100,000
บาท ตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร(อ่านรายละเอียดประกันสะสมทรัพย์)
ผลประโยชน์ความคุ้มครองชีวิต
หากผู้เอาประกันภัยเสียชีวิตก่อนครบกำหนดสัญญาในปีกรมธรรม์ที่
1-5
บริษัทฯ จะจ่าย 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยเริ่มต้น
และเพิ่มเป็น 175% ตั้งแต่ปีกรมธรรม์ที่ 6 เป็นต้นไป

Comments
Post a Comment